วัตถุประสงค์ :
1. เพื่อให้เข้าใจหลักการ การถ่ายทอดกำลังสูงสุด2. เพื่อทดลองวงจรแมทชิ่งแบบ L
3. เพื่อให้คุ้นเคยกับการใช้เครื่องวิเคราะห์เน็ทเวิร์คแบบเวกเตอร์ (VNA)
ทฤษฎี :
ในการถ่ายทอดกำลังให้ได้สูงสุด อิมพีแดนซ์ด้าน source และ loadต้องมีคอนจูเกตเท่ากัน ส่วนใหญ่นิยมใช้ Lnetwork ประกอบด้วยอุปกรณ์รีแอกตีฟสองตัว ซึ่งสามารถแมทช์กันได้ รูปที่ 1 แสดง เน็ทเวิร์ค L แบบสองชิ้น ซึ่งจะแมทช์ RS เข้ากับ RL ซึ่ง RL< RS เราใช้รีแอกเตอร์ XP ขนานกับความต้านทานที่มีค่ามากกว่า พิจารณาตัวอย่างที่กำหนดRS = 1000 Ω และ RL = 50 Ω อิมพีแดนซ์ด้านซ้าย เท่ากับ
เลือก XP เพื่อให้ Zleft เป็น 50 Ω คือเท่ากับ ค่าความต้านทานโหลด โดยใช้สมการ (1)คำนวณได้ XP^2 = 52441 ดังนั้น เราสามารถเลือก XP = 229 (L) หรือ XP = -229 ( C) เราสามารถหักล้าง Xleft โดยการใส่ตัวรีแอกเตอร์อนุกรม XS ที่ค่าเท่ากับ -Xleft. ความสัมพันธ์ของ XL XC Rsource R load จะเป็นดังนี้
รูปที่ 2 แสดงวงจร แมทชิ่งที่ได้ เมื่อ XP เป็น L(a) และเมื่อ XP เป็น C(b)สุดท้ายเป็นการหาค่า L และ C ที่ทำให้ได้ ค่ารีแอกแตนซ์ ตามที่คำนวณที่ความถี่ที่ต้องการวงจรในรูปที่ 2(b), ωL = 218 สมมุติว่าความถี่ที่ออกแบบ 1.5 MHz จะคำนวณได้ L = 23.1 μH และ C = 462 pF สังเกตุว่าค่าของ รีแอกเตอร์ทั้งสอง นี้ สามารถหาได้จากค่าความต้านทาน source และ load เว้นแต่ในกรณีที่ต้องการกำหนดว่าอุปกรณ์ตัวไหนเป็น L และตัวไหนเป็น C ในวงจรแมทชิ่งแบบสองชิ้นนี้ไม่มีตัวแปรอิสระ การแมทช์มีผลสูงสุดที่ความถี่ที่ออกแบบการตอบสนองความถี่สำหรับวงจรทั้งสองในรูปที่ 2 การตอบสนองแบบโลวพาส ( 2a) และไฮพาส( 2b)
หากต้องการแมทช์ ความต้านทาน source Rs เข้ากับความต้านทาน load RL เราอาจทำเน็ทเวิร์คไฮพาสหรือโลวพาสซึ่งมีความสามารถเท่าเทียมกัน ตอบสนองสนองความถี่ช่วงแมทช์ คล้ายกัน แต่ที่ความถี่ห่างออกมาปรากฏเป็นไฮพาส หรือ โลวพาส ตามลักษณะวงจร
ขั้นตอนการแมทชิ่งด้วยอุกรณ์รีแอกตีฟสองตัว ทาได้ดังนี้
1) เพิ่มตัวรีแอกตีฟอนุกรมหนึ่งตัว ติดกับ RSMALLER และอีกหนึ่งตัวติดกับ RLARGER ตัวที่วางอนุกรมอาจเป็นตัว L หรือ Cส่วนตัวที่วางขนาน จะให้เป็นชนิดตรงข้าม ถ้าตัวที่ต่ออนุกรมเป็น L จะได้การตอบสนองแบบโลวพาส และเมื่อตัวที่ต่ออนุกรมเป็นตัว C จะได้ลักษณะการตอบสนองแบบ ไฮพาส
· กรณีใช้แบบโลวพาสกับวงจรขยาย BJT ซึ่งปกติจะมีอัตราขยายมากกว่าที่ความถี่ต่ำอาจพบปัญหาเสถียรภาพที่ความถี่ต่ำกรณีนี้เราอาจจะใช้วงจร LC ด้านหน้าเป็น ไฮพาส (seriesC, shunt L) เพื่อช่วยเสถียรภาพ
· ทางด้านเอ้าท์พุท ถ้าต้องการลดความถี่ฮาร์โมนิกส์ จะต่อเป็นวงจรแมทชิ่งแบบโลวพาส
ขั้นตอนการแมทชิ่งด้วยอุกรณ์รีแอกตีฟสองตัว ทาได้ดังนี้
1) เพิ่มตัวรีแอกตีฟอนุกรมหนึ่งตัว ติดกับ RSMALLER และอีกหนึ่งตัวติดกับ RLARGER ตัวที่วางอนุกรมอาจเป็นตัว L หรือ Cส่วนตัวที่วางขนาน จะให้เป็นชนิดตรงข้าม ถ้าตัวที่ต่ออนุกรมเป็น L จะได้การตอบสนองแบบโลวพาส และเมื่อตัวที่ต่ออนุกรมเป็นตัว C จะได้ลักษณะการตอบสนองแบบ ไฮพาส
· กรณีใช้แบบโลวพาสกับวงจรขยาย BJT ซึ่งปกติจะมีอัตราขยายมากกว่าที่ความถี่ต่ำอาจพบปัญหาเสถียรภาพที่ความถี่ต่ำกรณีนี้เราอาจจะใช้วงจร LC ด้านหน้าเป็น ไฮพาส (seriesC, shunt L) เพื่อช่วยเสถียรภาพ
· ทางด้านเอ้าท์พุท ถ้าต้องการลดความถี่ฮาร์โมนิกส์ จะต่อเป็นวงจรแมทชิ่งแบบโลวพาส
2) ต่อตัวรีแอกตีฟอนุกรมกับ RSMALLER แล้วต่อตัวรีแอกตีฟขนานกับ RLARGER เพื่อสร้างเป็นเน็ทเวิร์คย่อยสองชุด ชุดหนึ่งเป็นอินดัคตีฟ ส่วนอีกชุดหนึ่งเป็นคาปาซิตีฟ (ตัวหนึ่งต่ออนุกรมอีกตัวต่อขนานและทั้งสองต้องแสดงเป็นอิมพีแดนซ์เชิงซ้อนแบบคู่ตรงข้ามซึ่งกันและกัน ที่ความถี่ที่ออกแบบไว้ ดังนั้นค่าแฟกเตอร์ Q ของเน็ทเวิร์คย่อยทั้งสองจะต้องเท่ากันที่ความถี่ที่แมทช์ )
3) การที่เราทราบค่า Q เราสามารถที่จะหาค่าตัวรีแอกตีฟที่ต่ออนุกรม และขนาน จากนั้นสามารถหาค่าตัว
เหนี่ยวนำ และตัวเก็บประจุที่ต้องใช้ในเน็ทเวิร์ค จากสมการต่อไปนี้ :
3) การที่เราทราบค่า Q เราสามารถที่จะหาค่าตัวรีแอกตีฟที่ต่ออนุกรม และขนาน จากนั้นสามารถหาค่าตัว
เหนี่ยวนำ และตัวเก็บประจุที่ต้องใช้ในเน็ทเวิร์ค จากสมการต่อไปนี้ :
ตัวอย่าง
ต้องการแมทช์ความต้านทาน source 5 Ω เข้ากับความต้านทาน load 50 Ω ที่ความถี่ 850MHz เราสามารถเพิ่มตัวเหนี่ยวนำ อนุกรมกับ RSMALLER (5 Ω) และต่อขนานตัวเก็บประจุ กับ RLARGER (50 Ω) สามารถคำนวณ ค่าแฟกเตอร์ Q ของ เน็ทเวิร์คย่อย ที่ต้องการ ได้ดังนี้ :
. เน็ทเวิร์ค LC สามารถแมทช์ ปลายทั้งสองด้าน โดยที่มีคุณลักษณะการตอบสนองไม่สมมาตรในช่วงความถี่ที่ต่ำกว่า และสูงกว่า ความถี่ที่แมทช์ โดยที่มีการสูญเสียน้อยมากที่ความถี่ที่แมทช์
· การสูญเสียในช่วงความถี่ที่ต่ำกว่าความถี่ที่แมทช์ เกิดขึ้น เนื่องจากการไม่แมทช์ ระหว่างวงจรทั้งสองด้านโดย เกิดการสูญเสีย Mismatch Loss [dB] = 10*LOG (1 – Γ 2 )
· การสูญเสีย ในช่วงความถี่สูงกว่าความถี่แมทช์เป็นผลของการตอบสนองแบบโรลออฟ (12dB/octave )
· การตอบสนองของ เน็ทเวิร์ค L-C แสดงความไม่สมมาตรเฉพาะช่วงใกล้ ความถี่แมทช์
· การสูญเสียในช่วงความถี่ที่ต่ำกว่าความถี่ที่แมทช์ เกิดขึ้น เนื่องจากการไม่แมทช์ ระหว่างวงจรทั้งสองด้านโดย เกิดการสูญเสีย Mismatch Loss [dB] = 10*LOG (1 – Γ 2 )
· การสูญเสีย ในช่วงความถี่สูงกว่าความถี่แมทช์เป็นผลของการตอบสนองแบบโรลออฟ (12dB/octave )
· การตอบสนองของ เน็ทเวิร์ค L-C แสดงความไม่สมมาตรเฉพาะช่วงใกล้ ความถี่แมทช์
3. L network ที่ต้องการทดสอบ
การทดลอง
1. ออกแบบเน็ทเวิร์คแมทชิ่ง แบบ L ที่ ตอบสนองแบบโลวพาส เพื่อแมทช์ซอร์สอิมพีแดนซ์ 50 +j0Ohms เข้ากับโหลด 750 โอห์ม และคำนวณ XL XC ที่ความถี่ 26 MHz
2. สร้างวงจรโดยใช้ ค่าอุปกรณ์ที่คำนวณได้ โดยใช้ขดลวดแกนอากาศ
3. ต่อวงจรนี้ เข้าที่ ขั้ว N female port 1 ของเครื่องวิเคราะห์เน็ทเวิร์ค ( VNA) เพื่อวัด S11
4. กำหนดความถี่กลาง(Center freq)ช่วงกว้างของความถี่ที่แสดง( Span)และสเกลให้เหมาะสม
5. ทำการวัดในรูปแบบ( format ) Log Mag, SWR และ Smith chart ( R+jX)
6. อาจมีการปรับค่าของอุปกรณ์ในวงจรบ้าง
7. บันทึกผลการทดลองโดยแสดงการพล๊อต ทั้งสามรูปแบบ ในช่วงความถี่เท่ากัน
8. แสดงการคำนวณเปรียบเทียบค่าใน format ทั้งสามว่า สอดคล้องกัน
9. เปรียบเทียบผลการทดลองกับการคำนวณ
ผลการทดลอง
Zin = 300x jx2πx F x 6.58 e.^(-12) / (300
+ jx2πx F x 6.58 e.^(-12) )=7.44x10^-9
II=(Zin-Rs) / (Zin+Rs)
= -0.9999999999
กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่าม ความถี่(MHz) กับ ปริมาณการสะท้อน (dB)
Smith Chart
วิจารณ์ผลการทดลอง
ในการทดลองเราต้องกำหนดความถี่ และ ค่า R ภายใน L-network ให้แน่นอน เพื่อแมทช์อิมพิแดนซ์ ของภาครับและภาคส่ง ให้เท่ากัน โดยคำนวณ Q factor และนำค่า Q factor มาแทนหาค่าอิมพิแดนซ์ของ L และ C จากนั้นจึงเลือกอุปกรณ์ตามค่าที่ได้คำนวณให้เหมาะสมกับวงจร นั้นคือ อิมพิแดนซ์ของแหล่งจ่าย จะเท่ากัน(ในทางทฤษฎี) หรือ ใกล้เคียง(ในทางปฎิบัติ) กับ อิมพิแดนซ์ของภาครับ จากนั้นนำค่าที่ได้มาพล็อตกราฟ Log mag และ smith chart ทำให้ทราบว่าที่ความถี่ 180 MHz จะมีค่าปริมาณการสะท้อนน้อยที่สุด
สรุปผลการทดลอง
จากผลการทดลองเรื่อง L-matching network ทำให้เราทราบว่าเราต้องกำหนด อิมพิแดนซ์ทั้งสองฝั่ง คือ ภาครับ และภาคส่ง ให้มีค่าเท่ากัน จากกราฟ LOG MAG ที่ได้จากการทดลอง พบว่า ที่ความถี่ 180 MHz จะทำให้ค่าปริมาณการสะท้อนน้อยมาก ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้ว่า อิมพิแดนซ์ทั้งสองฝั่ง มีค่าใกล้เคียงมากที่สุด ซึ่งทำให้วงจรทางภาครับ ได้รับกำลังได้สูงสุด เมื่อภาคส่งส่งมา
คำถาม
1. ประโยชน์ของการใช้ L matching
ตอบ จะใช้ในการถ่ายทอดกำลังสูงสุดโดย Rsource กับ Rload ต้องมีคอนจูเกตกัน โดยมีอุปกรณ์รีแอกตีฟสองตัวที่แมทช์กัน โดยใช้รีแอกเตอร์ขนานกับความต้านทานที่มีค่ามากกว่า ถ้าอิมพีแดนซ์สองด้านไม่เท่ากันจะเกิดการสะท้อนขึ้น
ตอบ จะใช้ในการถ่ายทอดกำลังสูงสุดโดย Rsource กับ Rload ต้องมีคอนจูเกตกัน โดยมีอุปกรณ์รีแอกตีฟสองตัวที่แมทช์กัน โดยใช้รีแอกเตอร์ขนานกับความต้านทานที่มีค่ามากกว่า ถ้าอิมพีแดนซ์สองด้านไม่เท่ากันจะเกิดการสะท้อนขึ้น
2. เขียนวิธีการใช้เครื่องมือชนิดอื่น นอกเหนือไปจาก VNA เพื่อทำการวัดเช่นเดียวกันนี้
ตอบ สามารถวัดค่าอิมพิแดนซ์ได้โดยใช้ antenna analyzer โดยที่ตั้งค่าพื้นฐานไว้แล้วใช้ long wire เชื่อมต่อ L-network กับ antenna anlyzer แล้วจูนค่า Vc จนค่าตกลงมาที่ 0
ตอบ สามารถวัดค่าอิมพิแดนซ์ได้โดยใช้ antenna analyzer โดยที่ตั้งค่าพื้นฐานไว้แล้วใช้ long wire เชื่อมต่อ L-network กับ antenna anlyzer แล้วจูนค่า Vc จนค่าตกลงมาที่ 0
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น